วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2563
วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563
วันศุกร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2563
วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2563
ที่มาของชื่อ "พุทธทาส"
ที่มาของชื่อ “ พุทธทาสภิกขุ ”
.
[ ปรัศนี - ถาม ] ท่านอาจารย์ครับ ผมขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยเล่าถึงที่มาของชื่อท่านครับ
.
[ พุทธทาสภิกขุ - ตอบ ] ชื่อ “พุทธทาส” ใช่ไหม? ชื่อมันมีอีกหลายชื่อ ชื่อตั้งแต่เกิดมาชื่อ “เงื่อม” แล้วต่อมาก็เล่าเรียนเป็น “มหาเงื่อม” แล้วก็เป็น “พระครูอินทปัญญาจารย์” ต่อมาเป็น “พระอริยนันทมุนี” ต่อมาเป็น “พระราชชัยกวี” ต่อมาเป็น “พระเทพวิสุทธิเมธี” คือเดี๋ยวนี้( ขณะตอบคำถามนี้ ), ( ชื่อหลังสุด “พระธรรมโกศาจารย์” ขณะพิมพ์หนังสือนี้ ) เป็นชื่อที่เปลี่ยนเรื่อย มันลําบากกับชาวต่างประเทศ, และลําบากอีกหลายๆอย่าง เราเลยใช้ชื่อที่ไม่ต้องเปลี่ยน คือชื่อที่เมื่อบวชนั่น อุปัชฌายะให้ชื่อฉายาว่า “อินทปญโญ” ที่นี้ก็ใช้ชื่อตัวให้เขียนให้ง่ายในภาษาอังกฤษได้ว่า “พุทธทาส” ถ้าชื่อว่า “เงื่อม” นี่เขียนเป็นภาษาอังกฤษลําบากที่สุด แล้วไม่เคยออกเสียงว่า “เงื่อม” ได้ ก็ต้องใช้คําที่มันจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ตายตัว ก็ใช้คําว่า “พุทธทาส” เป็นชื่อตัว “อินทปญโญ” เป็นฉายา, เรียกว่า “พุทธทาส อินทปญโญ” ถ้าจะเอาให้สั้นที่สุดคําเดียวก็คือ “พุทธทาส”
.
เราเกิดความรู้สึกที่จะรับใช้พระพุทธศาสนาขึ้นมา ตั้งแต่เรียกว่าก่อนบวชนิดหน่อยหรือแรกบวชนั่นแหละเป็นจริงเป็นจัง. เมื่อก่อนบวชมันก็ยากที่จะรับใช้พุทธศาสนา; พอบวชแล้วมันก็สะดวกที่จะรับใช้พุทธศาสนา โดยที่เราเริ่มเข้าใจพระพุทธเจ้า และเริ่มเข้าใจพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสําหรับมนุษย์; แต่แล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้เป็นที่รู้จัก คือพระพุทธศาสนายังไม่ค่อยจะเผยแผ่ออกไปอย่างที่ควรจะมี, เราจึงเห็นว่า สิ่งนี้แหละมันจะมีประโยชน์ที่สุดสําหรับมนุษย์ เราควรจะกระทําอย่างยิ่ง, ฉะนั้น จึงอุทิศตั้งจิตว่า เราจะทํางานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกับว่ารับใช้พระพุทธองค์ ให้สมกับหน้าที่ของพระสาวก.
.
ที่นี้บวชแล้ว ทุกเย็นไม่ว่าวัดไหนเขาก็สวดทําวัตรเย็นในบททําวัตรเย็นมันก็มีคําชัดเลยว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธ เจ้า, พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า เขาสวดอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ เป็น ธรรมเนียม หรือว่าเป็นวินัย เป็นระเบียบที่ต้องสวด, มันก็ยิ่งเข้ารูปกันกับเรา ที่ตั้งใจอยู่ว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นทาส จึงสมกับที่เรียกตัวเองว่า “พุทธทาส” แล้วก็ได้ทํางานอย่างนั้น สมตามความประสงค์.
.
แล้วมีเรื่องแถมพกอีกหน่อยก็ได้ หนังสือพิมพ์ในกรุงเทพฯที่อยู่ในอิทธิพลของผู้นิยมคอมมิวนิสต์เขาเอาไปเขียนล้ออาตมา ว่าเดี๋ยวนี้เขาเลิกทาสกันหมดแล้ว พุทธทาสยังงมโข่งอยู่อีก สมัครจะเป็นทาสอะไรอีก หรืออะไรทํานองนี้ อาตมาก็ได้อ่านเองหนังสือนั้น ก็บอกเพื่อนฝูงว่า โอ๊ย! มันคนละทาสโว้ย!, มันคนละทาส. ผู้เขียนนั้นเขาเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์ หลับหูหลับตาเป็นทาสอย่างนั้น มันคนละความหมายกับที่เราเป็นทาสของพระพุทธเจ้า; เป็นทาสด้วยความมองเห็นชัดเจน พอใจว่ามันมีประโยชน์ต่อโลก, เราก็ยินดีรับใช้, ไม่ใช่ทาสในความหมายที่เขาเลิกกันไปเสียแล้ว; เลิกนั้นมันเป็นทาสอีกชนิดหนึ่ง, ทาสกดขี่ ฉะนั้น การเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ ก็เพื่อจะทํางานเผยแผ่ธรรมะอย่างสุดชีวิตจิตใจ เหมือนกับทาสที่ถูกบังคับใช้, แต่เราไม่ใช่ถูกบังคับใช้ เรามีความประสงค์ของเราเอง ทำอย่างเดียวกันแหละ, ที่คนไปเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นแหละ แต่น่าจะรังเกียจกว่า ซึ่งมันก็คือความเป็นทาสชนิดหนึ่งเหมือนกัน.
.
ฉะนั้น พวกที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ควรจะมาตําหนิเราว่าเป็นทาส คือสมัครเป็นทาสพระพุทธเจ้า เพราะว่าเป็นทาสพระพุทธเจ้ามันดีกว่าเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์ นี่ เรื่องที่พุทธทาสถูกด่า นอกนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไร ได้ทํางานในฐานะเป็นพุทธทาสเรื่อยๆมา จนกระทั่งที่เห็นๆอยู่ งานทุกชิ้นทําเพื่อรับใช้พระพุทธเจ้า ในการเผยแผ่พุทธศาสนาทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งที่ทั้งวัดทั้งวานี้ ทั้งจิตทั้งใจความคิดสติปัญญา เอามาใช้รับใช้พระพุทธเจ้าหมด
.
นี่คือความหมายของคําว่า “พุทธทาส” เกิดจากความรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีกว่า; ชีวิตของเราจะอยู่ต่อไปอีกกี่ปีก็ตามใจ, ถ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดและสูงสุด ก็ควรจะทํางานนี้ คือรับใช้พระพุทธเจ้า ด้วยการทําให้พุทธศาสนาแพร่หลายไปมีประโยชน์ แก่คนทุกคนในโลกก็แล้วกัน นี่ต้นเหตุพุทธทาส, หรือการกระทําของพุทธทาส, หรือผลมุ่งหวังของพุทธทาส.
.
แล้วอาตมายังคิดด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจว่า พุทธบริษัททุกคนเป็นพุทธทาสอยู่แล้วในตัว; ไม่ใช่เป็นแต่เรา แต่เขาก็ทํางานอย่างพุทธทาสอยู่แล้วทุกคน, ช่วยรักษาบํารุงเผยแผ่พระพุทธศาสนา, แต่เขาไม่เรียกตัวเองว่าพุทธทาสก็ตามใจเขา; แต่งานของเขาก็มีลักษณะเป็นพุทธทาสเหมือนกัน ฉะนั้น เราก็ไม่ยกตัว ไม่อวดดี ไม่จองหองพองขนว่า เป็นพุทธทาสแต่เราคนเดียวเท่านั้น ทุกคนที่ทําหน้าที่อย่างนี้แล้วก็เป็นพุทธทาสด้วยกันทุกคน นี่ความรู้สึกที่มีอยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับคําว่า “พุทธทาส”, และเงื่อนงำอะไรที่เกี่ยวกับพุทธทาสที่พอจะพูดได้มันก็มีอยู่อย่างนี้”
.พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือชื่อ “พุทธทาสวจนา” ของ ชมรมดอกโมกข์ ๓๕ โดย สัมพันธ์ ก้องสมุทร บรรณาธิการ บทที่ ๓ หัวข้อเรื่อง “ปุจฉา-วิสัชนา ศาสนาพุทธกับสังคมไทยและหลักการของสวนโมกข์” หน้า ๑๓๐-๑๓๓
#พุทธทาส #พุทธทาสภิกขุ #ประวัติพุทธทาสภิกขุ #พุทธทาส_อินทปัญโญ #พระมหาเงื่อม_อินทปัญโญ
วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563
คนใดกลัวทุกข์ คนนั้นกลัวธรรม - หลวงปู่จาม มหาปุญโญ
"ความทุกข์ในใจ คนผู้ไม่รู้จักทุกข์
มัก(ชอบ) เก็บเอาไว้ในใจ
คนผู้รู้จักได้แล้ว บางคนก็เก็บ
บางคนก็รู้จักเท่าทัน
ความสุขในใจ คนไม่รู้จักความสุข
ก็สุขได้ แต่คนรู้นั้นสุขได้มากกว่า
ผู้ใดรู้สุข รู้ทุกข์ ผู้นั้นรู้จักธรรม
ผู้อาศัยธรรมแล้วไม่ติดในทุกข์สุข
ประการใดๆ เพราะได้ธรรมะ..."
#หลวงปู่จาม มหาปุญฺโญ
จงดูให้เห็นว่ามันเป็น เพียงความรู้สึก - พุทธทาสภิกขุ
#จงดูให้เห็นว่ามันเป็น_เพียงความรู้สึก
คนโง่ ๆ พอนึกถึงผีมันก็ขนลุกกันทั้งนั้น ไม่มีอะไร นี่แหละความโง่ ไม่รู้อะไร มันก็เป็นไป เช่นนั้นเอง ที่ว่าสัญญาทำให้เกิดความกลัวขึ้นมา แต่เขารู้ถึงหัวใจของธรรมะ ก็จะรู้ว่า "มันเป็นเช่นนั้นเอง"...
.
...แม้ว่ามันจะมีความขนลุกซ่าไปด้วยความกลัว มันก็จะรู้สึกว่า นี่มัน "เช่นนั้นเอง" "เท่านี้เอง" เป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ฉะนั้น เรื่องจะเป็น จะตายอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้น จงดูให้เห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึก
.
เพราะฉะนั้น ขอให้เอาไปจับกับความทุกข์ทุกเรื่องไม่ว่าชนิดไหน ที่บ้านเรือน ที่วัด เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์
.
เพราะว่าความทุกข์ หรือความสุขมันเป็นเพียงความรู้สึกเท่านั้นเอง ถ้าได้เห็นว่ามันเป็นเพียงความรู้สึก เราก็ไม่ยินดีในความสุข และไม่เกลียดกลัวในเรื่องของความทุกข์ คือ ไม่ยินดี ยินร้ายในเรื่องของความทุกข์และความสุข
.
ที่นี้มันโง่เกินไปมันไม่เห็นว่าเช่นนั้นเอง จนเกิดปัญหาเกี่ยวกับโลกธรรม ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ ได้นินทา ได้สรรเสริญ ได้สุข ได้ทุกข์ กลายเป็นของต่างกันไป ได้ลาภก็ยินดี เสื่อมลาภก็ยินร้าย นี่มันบ้าเพราะมันไม่เห็นว่า “มันเช่นนั้นเอง.”
.#พุทธทาสภิกขุ
#ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง #หน้า_๓๕-๓๖
หมดกิเลส หมดปัญหา - พุทธทาสภิกขุ
#หมดกิเลส_หมดปัญหา.
ปัญหาเฉพาะหน้าที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัติกันจริง ๆ นั้น ก็คือ…
การทำลายกิเลสตัณหาเสีย
เพื่อจะได้ไม่มีความทุกข์ความร้อนโดยประการทั้งปวง
ไม่ว่าจะเป็นทุกข์ใหญ่ ทุกข์น้อย ทุกข์เวลานี้
หรือทุกข์ในเวลาไหน ทุกข์โลกนี้ หรือทุกข์โลกอื่น
การทำเช่นนี้ เป็นการทำลายทุกข์ได้สิ้นเชิง.
.
ปัญหาเรื่องความยากจน
ปัญหาเรื่องสงคราม
เรื่องเศรษฐกิจ เรื่องต่าง ๆ นานาเหล่านั้น
ก็จะกลายเป็นของเล็กน้อยไม่มีน้ำหนัก ไม่มีความหมาย
.
เพราะว่าเราได้รับสิ่งที่ดี ที่ประเสริฐสุด
คือกำจัดความทุกข์ได้สิ้นเชิง
ชนิดที่อะไร ๆ จะมาทำให้เราทุกข์ไม่ได้อีกต่อไป.
.#พุทธทาสภิกขุ
#อยู่อย่างปลอดภัยในโลกอันมัวเมา #หน้า_๔๒-๔๓
ยิ่งยึดถือในความดีเท่าไร จะยิ่งกลัวตายเท่านั้น - พุทธทาสภิกขุ
#ยิ่งยึดถือในความดีเท่าไร_จะยิ่งกลัวตายเท่านั้น.
อาตมากำลังพูดว่า…
ยึดถือในความดีเท่าไร
ความมีตัวกูที่ดี ดี ดีเลิศเท่าไร ก็ยิ่งกลัวตายเท่านั้น
.
และก็นี่พูดสำหรับถูกด่า ให้เขาด่า
พุทธทาสมันติเตียนความดี มันสอนไม่ให้ทำดี
นี่มีอยู่ทั่วๆ ไป เคยได้ยินไหม
อาตมาไม่ได้เจตนาจะติเตียนความดี
.
แต่บอกให้รู้ตามที่เป็นจริงว่า…
สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือมากมายที่สุดก็คือความดีที่สุด
เข้าใจว่าสิ่งใดเป็นความดีที่สุด ก็ยึดถือในสิ่งนั้นเป็นของสูงสุด.
.#พุทธทาสภิกขุ
#มีชีวิตโดยไม่ต้องมีอายุ #หน้า_๑๑
ชีวิตนิรันดรนี้ก็หาพบได้ - พุทธทาสภิกขุ
#ชีวิตนิรันดรนี้ก็หาพบได้...
ได้ในร่างกายที่ยังเป็นๆ ที่ยาวหนึ่งวา
ยังมีเป็นๆ อยู่ ยังไม่ตายนี้เอง อย่าเข้าใจว่าตาย
ตายจากโลกนี้แล้วไปหาชีวิตนิรันดรข้างหน้า
โลกอื่นโลกไหนตามที่เขาพูดๆ กันนั้นน่ะ
เขาก็พูดกันไปตามแบบของเขา
.
แต่ในพุทธศาสนานี้มันไม่มีชีวิตนิรันดรแบบนั้น
ชีวิตนิรันดรแบบพุทธศาสนาต้องรู้ได้
ต้องเข้าถึงได้ ต้องรู้จักได้ทันที เมื่อดับอุปาทานว่าตัวตนเสีย.
.#พุทธทาสภิกขุ
#การปฏิบัติเพื่อเข้าถึงความไม่ตาย #หน้า_๒๙
เรื่อง ปัญญา กับ ทิฏฐิ - ป.อ.ปยุตโต
แสวงหา“ปัญญา” แต่พอรู้อะไรนิดๆหน่อยๆ เริ่มลงความเห็น เลยกลายเป็น “ทิฏฐิ”
.
“เรื่อง ปัญญา กับ ทิฏฐิ
“ปัญญา” คือ ความรู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามเป็นจริง คนเราพัฒนาปัญญาเพื่อให้เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ แต่ในขณะที่เราแสวงหาปัญญาอยู่นั้น ก็มักจะตกหลุมอีกแห่งหนึ่งขึ้นมา คือพอเราได้รู้อะไรนิดๆหน่อยๆ เราจะเริ่มลงความเห็น สิ่งที่กลายเป็นความเห็นของเรานี้ ท่านเรียกว่า “ทิฏฐิ”
.
คนบางพวกมีความโน้มเอียงที่จะลงความเห็นง่าย #พอลงความเห็นปุ๊บไปแล้วตัวเองยังไม่ทันเข้าถึงความจริงก็เลยติดอยู่ในความเห็นอันนั้นเอง ทั้งที่เพิ่งได้ความจริงเพียงแง่หนึ่งด้านเดียว อันนั้นก็กลายเป็น “ทิฏฐิ” ไปเสียแล้ว
.
พอลงเป็นทิฏฐิแล้ว เจ้าทิฏฐินั้นก็...
.
๑. กลายเป็นตัวอุปสรรค มาขัดขวางตัวเขาเอง ไม่ให้แสวงหาปัญญาต่อ ก็เลยเข้าไม่ถึงความจริง
.
๒. เป็นอันตรายต่อเพื่อนมนุษย์ เพราะตัวเองก็จะดื้อรั้นให้เป็นไปตามทิฏฐิของตน จนบางทีถึงกับไปบังคับคนอื่นให้เห็นตาม
.
ฉะนั้นทิฏฐิจึงมีบทบาทสำคัญในกระบวนการพัฒนาปัญญา #มันเกิดขึ้นในระหว่างที่เรากำลังแสวงหาปัญญา แต่พอมันเกิดขึ้นแล้วกลับเป็นอันตราย ทั้งกั้นตัวเองด้วยและทำร้ายผู้อื่นด้วย
.
ฉะนั้น จึงมีปัญหาว่า..ทำอย่างไร? จะไม่ให้คนตกลงไปอยู่ใต้ทิฏฐิ เราจะได้ก้าวหน้าในปัญญาอยู่เสมอ
.
#คนที่เป็นนักแสวงปัญญานั้นจะไม่ลงทิฏฐิง่ายๆ แล้วก็ไม่ยึดติดถือมั่นอยู่ใต้ครอบงำของทิฏฐิ...
.
เวลานี้ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งในเรื่องปัญญากับทิฏฐิ ก็คือว่า โลกแคบเข้ามารวมกันเป็นหนึ่งเดียวโดยเทคโนโลยี แต่คนยิ่งแตกยิ่งแยกกันโดยทิฏฐิ นี่คือ จุดติดตันของอารยธรรมมนุษย์ยุคปัจจุบัน”
.สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( ป. อ. ปยุตฺโต )
ที่มา : ธรรมนิพนธ์ “การสร้างสรรปัญญา เพื่ออนาคตของมนุษยชาติ”
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563
ตายเสียก่อนตาย - พุทธทาสภิกขุ
#ผู้ถาม: นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตายเป็นอย่างไรครับ?
.
#พุทธทาสภิกขุ : นิพพานอยู่ที่ตายเสียก่อนตาย คือหมดความโง่ว่าตัวตนเสียก่อนตาย ดับความรู้สึกว่าตัวตนเสียก่อนแต่ร่างกายตาย ก็เลยกลายเป็นตายก่อนตาย.
.
#พุทธทาสภิกขุ_
#ถามตอบ_สิบห้าวินาที #หน้า_๕๒
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)