ที่มาของชื่อ “ พุทธทาสภิกขุ ”
.
[ ปรัศนี - ถาม ] ท่านอาจารย์ครับ ผมขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยเล่าถึงที่มาของชื่อท่านครับ
.
[ พุทธทาสภิกขุ - ตอบ ] ชื่อ “พุทธทาส” ใช่ไหม? ชื่อมันมีอีกหลายชื่อ ชื่อตั้งแต่เกิดมาชื่อ “เงื่อม” แล้วต่อมาก็เล่าเรียนเป็น “มหาเงื่อม” แล้วก็เป็น “พระครูอินทปัญญาจารย์” ต่อมาเป็น “พระอริยนันทมุนี” ต่อมาเป็น “พระราชชัยกวี” ต่อมาเป็น “พระเทพวิสุทธิเมธี” คือเดี๋ยวนี้( ขณะตอบคำถามนี้ ), ( ชื่อหลังสุด “พระธรรมโกศาจารย์” ขณะพิมพ์หนังสือนี้ ) เป็นชื่อที่เปลี่ยนเรื่อย มันลําบากกับชาวต่างประเทศ, และลําบากอีกหลายๆอย่าง เราเลยใช้ชื่อที่ไม่ต้องเปลี่ยน คือชื่อที่เมื่อบวชนั่น อุปัชฌายะให้ชื่อฉายาว่า “อินทปญโญ” ที่นี้ก็ใช้ชื่อตัวให้เขียนให้ง่ายในภาษาอังกฤษได้ว่า “พุทธทาส” ถ้าชื่อว่า “เงื่อม” นี่เขียนเป็นภาษาอังกฤษลําบากที่สุด แล้วไม่เคยออกเสียงว่า “เงื่อม” ได้ ก็ต้องใช้คําที่มันจะเขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ตายตัว ก็ใช้คําว่า “พุทธทาส” เป็นชื่อตัว “อินทปญโญ” เป็นฉายา, เรียกว่า “พุทธทาส อินทปญโญ” ถ้าจะเอาให้สั้นที่สุดคําเดียวก็คือ “พุทธทาส”
.
เราเกิดความรู้สึกที่จะรับใช้พระพุทธศาสนาขึ้นมา ตั้งแต่เรียกว่าก่อนบวชนิดหน่อยหรือแรกบวชนั่นแหละเป็นจริงเป็นจัง. เมื่อก่อนบวชมันก็ยากที่จะรับใช้พุทธศาสนา; พอบวชแล้วมันก็สะดวกที่จะรับใช้พุทธศาสนา โดยที่เราเริ่มเข้าใจพระพุทธเจ้า และเริ่มเข้าใจพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสําหรับมนุษย์; แต่แล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้เป็นที่รู้จัก คือพระพุทธศาสนายังไม่ค่อยจะเผยแผ่ออกไปอย่างที่ควรจะมี, เราจึงเห็นว่า สิ่งนี้แหละมันจะมีประโยชน์ที่สุดสําหรับมนุษย์ เราควรจะกระทําอย่างยิ่ง, ฉะนั้น จึงอุทิศตั้งจิตว่า เราจะทํางานเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างกับว่ารับใช้พระพุทธองค์ ให้สมกับหน้าที่ของพระสาวก.
.
ที่นี้บวชแล้ว ทุกเย็นไม่ว่าวัดไหนเขาก็สวดทําวัตรเย็นในบททําวัตรเย็นมันก็มีคําชัดเลยว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธ เจ้า, พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า, ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า เขาสวดอยู่อย่างนี้ทุกวันๆ เป็น ธรรมเนียม หรือว่าเป็นวินัย เป็นระเบียบที่ต้องสวด, มันก็ยิ่งเข้ารูปกันกับเรา ที่ตั้งใจอยู่ว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นทาส จึงสมกับที่เรียกตัวเองว่า “พุทธทาส” แล้วก็ได้ทํางานอย่างนั้น สมตามความประสงค์.
.
แล้วมีเรื่องแถมพกอีกหน่อยก็ได้ หนังสือพิมพ์ในกรุงเทพฯที่อยู่ในอิทธิพลของผู้นิยมคอมมิวนิสต์เขาเอาไปเขียนล้ออาตมา ว่าเดี๋ยวนี้เขาเลิกทาสกันหมดแล้ว พุทธทาสยังงมโข่งอยู่อีก สมัครจะเป็นทาสอะไรอีก หรืออะไรทํานองนี้ อาตมาก็ได้อ่านเองหนังสือนั้น ก็บอกเพื่อนฝูงว่า โอ๊ย! มันคนละทาสโว้ย!, มันคนละทาส. ผู้เขียนนั้นเขาเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์ หลับหูหลับตาเป็นทาสอย่างนั้น มันคนละความหมายกับที่เราเป็นทาสของพระพุทธเจ้า; เป็นทาสด้วยความมองเห็นชัดเจน พอใจว่ามันมีประโยชน์ต่อโลก, เราก็ยินดีรับใช้, ไม่ใช่ทาสในความหมายที่เขาเลิกกันไปเสียแล้ว; เลิกนั้นมันเป็นทาสอีกชนิดหนึ่ง, ทาสกดขี่ ฉะนั้น การเป็นทาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี้ ก็เพื่อจะทํางานเผยแผ่ธรรมะอย่างสุดชีวิตจิตใจ เหมือนกับทาสที่ถูกบังคับใช้, แต่เราไม่ใช่ถูกบังคับใช้ เรามีความประสงค์ของเราเอง ทำอย่างเดียวกันแหละ, ที่คนไปเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์นั้นแหละ แต่น่าจะรังเกียจกว่า ซึ่งมันก็คือความเป็นทาสชนิดหนึ่งเหมือนกัน.
.
ฉะนั้น พวกที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ ไม่ควรจะมาตําหนิเราว่าเป็นทาส คือสมัครเป็นทาสพระพุทธเจ้า เพราะว่าเป็นทาสพระพุทธเจ้ามันดีกว่าเป็นทาสลัทธิคอมมิวนิสต์ นี่ เรื่องที่พุทธทาสถูกด่า นอกนั้นก็ไม่มีเรื่องอะไร ได้ทํางานในฐานะเป็นพุทธทาสเรื่อยๆมา จนกระทั่งที่เห็นๆอยู่ งานทุกชิ้นทําเพื่อรับใช้พระพุทธเจ้า ในการเผยแผ่พุทธศาสนาทั้งเนื้อทั้งตัว ทั้งที่ทั้งวัดทั้งวานี้ ทั้งจิตทั้งใจความคิดสติปัญญา เอามาใช้รับใช้พระพุทธเจ้าหมด
.
นี่คือความหมายของคําว่า “พุทธทาส” เกิดจากความรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีกว่า; ชีวิตของเราจะอยู่ต่อไปอีกกี่ปีก็ตามใจ, ถ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดและสูงสุด ก็ควรจะทํางานนี้ คือรับใช้พระพุทธเจ้า ด้วยการทําให้พุทธศาสนาแพร่หลายไปมีประโยชน์ แก่คนทุกคนในโลกก็แล้วกัน นี่ต้นเหตุพุทธทาส, หรือการกระทําของพุทธทาส, หรือผลมุ่งหวังของพุทธทาส.
.
แล้วอาตมายังคิดด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจว่า พุทธบริษัททุกคนเป็นพุทธทาสอยู่แล้วในตัว; ไม่ใช่เป็นแต่เรา แต่เขาก็ทํางานอย่างพุทธทาสอยู่แล้วทุกคน, ช่วยรักษาบํารุงเผยแผ่พระพุทธศาสนา, แต่เขาไม่เรียกตัวเองว่าพุทธทาสก็ตามใจเขา; แต่งานของเขาก็มีลักษณะเป็นพุทธทาสเหมือนกัน ฉะนั้น เราก็ไม่ยกตัว ไม่อวดดี ไม่จองหองพองขนว่า เป็นพุทธทาสแต่เราคนเดียวเท่านั้น ทุกคนที่ทําหน้าที่อย่างนี้แล้วก็เป็นพุทธทาสด้วยกันทุกคน นี่ความรู้สึกที่มีอยู่ในปัจจุบัน เกี่ยวกับคําว่า “พุทธทาส”, และเงื่อนงำอะไรที่เกี่ยวกับพุทธทาสที่พอจะพูดได้มันก็มีอยู่อย่างนี้”
.พุทธทาสภิกขุ
ที่มา : จากหนังสือชื่อ “พุทธทาสวจนา” ของ ชมรมดอกโมกข์ ๓๕ โดย สัมพันธ์ ก้องสมุทร บรรณาธิการ บทที่ ๓ หัวข้อเรื่อง “ปุจฉา-วิสัชนา ศาสนาพุทธกับสังคมไทยและหลักการของสวนโมกข์” หน้า ๑๓๐-๑๓๓
#พุทธทาส #พุทธทาสภิกขุ #ประวัติพุทธทาสภิกขุ #พุทธทาส_อินทปัญโญ #พระมหาเงื่อม_อินทปัญโญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น