กามตัณหา ก็คือความอยากหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายนั่นเอง อยากจะเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เช่น อยากไปเที่ยวนี่ก็กามตัณหาแล้ว อยากจะไปกินไปดื่มตามร้านอาหาร นี่ก็เป็นกามตัณหาแล้ว อยากมีแฟนนี่ก็เป็นกามตัณหา ถ้าจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องมีร่างกาย ถ้าไม่มีร่างกายก็ไม่สามารถที่จะตอบสนองกามตัณหาได้
ภวตัณหา ก็คือความอยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากร่ำอยากรวย อยากเป็นนั่นอยากเป็นนี่ อันนี้ก็เรียกว่าภวตัณหา
วิภวตัณหา ก็คืออยากไม่เป็นอย่างนั้นไม่เป็นอย่างนี้ อยากไม่ยากจน อยากไม่ให้เขาตำหนิติเตียนครหานินทา อยากไม่แก่ อยากไม่เจ็บ อยากไม่ตาย อันนี้คือความอยากในทางลบ ไม่อยากได้ในสิ่งที่เราไม่ปรารถนากันนั่นเอง อยากได้แต่สิ่งที่เราปรารถนากัน มันก็จะพาให้ใจเราดิ้นหาดิ้นหนี เจอของที่ไม่ชอบก็ดิ้นหนี เจอของที่ชอบก็วิ่งเข้าหา มันก็เลยต้องใช้ร่างกายเป็นเครื่องมือ ต้องมีร่างกายพามาเกิด ต้องมาเกิดใหม่อยู่เรื่อยๆ เกิดแล้วก็ต้องดิ้นหารูปเสียงกลิ่นรส ดิ้นหาลาภยศสรรเสริญกัน เวลาหาก็อาจจะทำบุญทำบาป ถ้าไม่ทำบาป ถ้าไม่มีใครสอน ถ้าหาเก่ง โชคดีหาไคด้มาก ก็อาจจะเอาไปแบ่งให้คนอื่น เอาไปทำบุญทำทาน ก็จะได้ทำบุญ
นี่คือสาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเรา เกิดจากความอยาก ๓ ประการนี้ พออยากแล้วก็ต้องมาเกิด พอมาเกิดแล้วก็ต้องดิ้นหาสิ่งต่างๆ ที่เราอยากได้ บางทีก็หาโดยวิธีไม่ต้องทำบาป ถ้าโชคดีหาเก่ง ไม่ต้องโกงก็หาได้เยอะ ก็อาจจะมีของมีเงินทองแบ่งไปให้คนอื่น ก็ได้ทำบุญ ถ้าหาไม่เก่งโดยไม่ต้องทำบาป ก็ต้องไปหาโดยวิธีทำบาป ไปฉ้อโกง ไปหลอกลวง ก็เป็นการทำบาป พอตายไปก็ต้องไปรับผลบุญผลบาป แล้วพอผลบุญผลบาปไม่มีกำลัง ไม่สามารถดึงให้เราอยู่ในสวรรค์หรือในอบายได้ ก็กลับมาเป็นมนุษย์ใหม่ นี่คือสภาพจิตใจของพวกเราทุกคนเป็นอย่างนี้ เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่อย่างนี้ ตายแล้วมาเกิด ก็มาทำบุญทำบาปกัน ตายไปก็ไปรับผลบุญผลบาป แล้วก็กลับมาเกิดใหม่ จนกว่าเราจะได้มาเจอพระพุทธศาสนานี่แหละ ถ้าเราได้มาเจอพระพุทธศาสนา เราก็จะได้ยินคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าอย่ามาเกิดเลย เกิดไม่ดี เกิดแล้วต้องมาทำบุญทำกรรม แล้วต้องไปรับผลบุญผลกรรม เสร็จแล้วก็กลับมาเกิดอยู่เรื่อยๆ มากำจัดไอ้ตัวที่พาให้เรามาเกิดกันดีกว่า ตัวที่พาให้เรามาเกิดก็คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา นี่เอง จะกำจัดไอ้ตัวนี้ได้ก็ต้องใช้ ศีล สมาธิ ปัญญา มารักษาศีลกัน จะต้องเป็นศีลระดับนักบวช ศีลระดับนักบุญนี้ไม่พอ ศีลระดับนักบุญนี้พอที่จะส่งไปสวรรค์ พอป้องกันไม่ให้ไปเกิดในอบายเท่านั้นคือ ศีล ๕ แต่ถ้าอยากจะได้ศีลที่จะพาให้ไปทำลายความอยากต่างๆ นี้ ต้องศีล ๘ ขึ้นไป ต้องละการหาความสุขทางกามนั่นเอง เรียกว่า “เนกขัมมะ”
เนกขัมมะศีลคือศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ นี่เป็นศีลที่ละเว้นการเสพกาม ละเว้นการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เช่น ศีลข้อ ๓ จาก “กาเม” ก็มาเป็น “อพรหมจริยา” จากการเสพกามให้ถูกประเพณี ก็มาไม่เสพกามเลย ถือศีลพรหมจรรย์ แล้วก็ไม่หาความสุข ไม่กินตามความอยาก กินตามความต้องการของร่างกาย กินแค่เที่ยงวันก็พอ ไม่ต้องกินตามความอยาก ถ้ากินตามความอยากก็เป็นการเสพกาม เสพกามตัณหานี่เอง ไม่หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ดูมหรสพบันเทิงอะไรต่างๆ อันนี้เป็นศีลของผู้ที่ต้องการที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ต้องถือศีล ๘ ขึ้นไป ตามแต่ฐานะ ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกา ก็ถือศีล ๘ ถ้าบวชเป็นสามเณรก็ถือศีล ๑๐ ถ้าบวชเป็นพระก็ถือศีล ๒๒๗ ศีลเหล่านี้มีกำลังพอที่จะใช้ในการฆ่ากิเลสตัณหาได้ อย่างสุภาพสตรีบางท่าน ท่านอยากจะถือศีลของภิกษุณี แต่ไม่มีภิกษุณีเลย ก็ไม่ต้องกังวล ศีล ๘ นี่ก็เหลือเฟือแล้ว รักษาศีล ๘ ได้ก็ฆ่ากิเลสตัณหาได้เหมือนกัน ภิกษุณีนี้มีไว้สำหรับผู้ที่อยากจะอยู่แบบไม่ต้องมากังวลกับการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเอง คือ ผู้เป็นภิกษุ ภิกษุณีนี้ ก็จะมีอาชีพบิณฑบาต มีผู้ที่เขาจะได้สนับสนุน จะได้ไม่ต้องไปมีอาชีพหาเงินหาทองมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้ายังเป็นอุบาสกอุบาสิกาอยู่นี้ ไม่มีใครเลี้ยงเรา เราต้องเลี้ยงตัวเราเอง เราก็เลยต้องมีเงินมีทอง หาเงินหาทอง ก็อาจจะมีอุปสรรคบ้าง คือจะทำให้เราต้องเสียเวลากับการหาเงินหาทอง แต่ก็มีทางออกเพราะว่า มีภิกษุ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตาที่รับอุบาสกอุบาสิกาไปอยู่วัดได้ ไปอยู่วัดแล้วก็ปฏิบัติเหมือนพระ ไม่ต้องกังวลกับเรื่องการหาเงินหาทอง อยู่วัดก็มีที่อยู่ให้ ให้อยู่ฟรี มีอาหารให้รับประทาน ถ้าไปอยู่แบบเพื่อไปปฏิบัติจริงๆ ท่านก็ยินดี แต่ถ้าไปอยู่เพราะขี้เกียจทำงาน อยู่วัดสบาย อย่างนี้ท่านก็ไม่ให้อยู่ ท่านดูเป็น ดูคนที่ไปอยูว่าไปอยู่แบบไหน
ดังนั้น ไม่ต้องกังวล ถ้าสมมุติเป็นอุบาสิกา แล้วอยากจะปฏิบัติเต็มร้อยแบบนักบวช ก็ไปหาวัดที่มีครูบาอาจารย์ท่านเมตตารับเอาไว้ วัดที่ท่านจะรับแล้วเราไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอาหารการกิน ก็กินตามมีตามเกิดที่วัดมีแหละ วัดมีอะไรท่านก็จะแบ่งให้กินไป ขอให้เราทำหน้าที่ของเราก็แล้วกัน อย่าไปอาศัยวัดอยู่กินเฉยๆ ถ้าไปอยู่เพื่อปฏิบัตินี่ ครูบาอาจารย์ท่านยินดีที่จะสนับสนุน แต่ถ้าไปอยู่ด้วยสาเหตุอื่นนี้ ท่านก็อาจจะให้อยู่ชั่วคราว พอเห็นว่าไม่ได้เรื่อง ท่านก็จะเชิญออก เชิญกลับบ้าน ฉะนั้นอย่ากังวลมากเกินไป สำหรับผู้หญิงสุภาพสตรีที่ไม่ได้บวชเป็นภิกษุณี เพราะการบวชก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะบรรลุธรรมได้ มีพระบวชกันเป็นแสน มีบรรลุธรรมกันสักกี่องค์ เพราะบวชแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติกัน ไม่ได้ศึกษาไม่ได้ปฏิบัติ มันก็ไม่ได้ผลอยู่ดี คนที่ไม่ได้บวชแล้วบรรลุธรรมก็มี ไม่ได้อยู่ที่การเป็นพระหรือเป็นภิกษุณีเพียงอย่างเดียว บางคนนี่เขาก็สามารถอยู่แบบพระแบบภิกษุณีได้โดยที่เขาไม่ต้องบวช เขาก็ปฏิบัติได้เต็มที่ ขอให้ได้ปฏิบัติเต็มที่ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบไหน ถ้าเราสามารถเจริญสมถะภาวนา วิปัสสนาภาวนาได้ตลอดเวลา โดยที่ไม่ต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องการทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แล้วเรามีที่สงบสงัดวิเวกที่อยู่ได้ เราก็ถือว่าเรามีวัดของเราแล้ว เราก็เป็นพระของเราแล้ว โดยที่เราไม่ต้องไปใส่ห่มสีเหลืองเท่านั้นเอง แต่ดีไม่ดีเราอาจจะปฏิบัติมากกว่าพวกที่ห่มสีเหลืองก็มี ที่ห่มสีเหลืองบางทีก็หลงทางกัน มาบวชแล้วก็ไปติดอยู่ตามเมรุบ้าง ไปติดอยู่ตามงานต่างๆ บ้าง งานสวดต่างๆ งานกิจนิมนต์ต่างๆ บางทีก็ไปติดตามตำรา ไปเรียนจนกระทั่งเป็นปะรงเปรียญอะไรไป แต่ไม่ได้ออกปฏิบัติ อันนี้ก็ยังถือว่าหลงทางอยู่ บวชจริงๆ นี้ต้องไปบวชเพื่อศึกษาแล้วปฏิบัติควบคู่กันไป อยู่ตามสถานที่สงบสงัดวิเวก ห่างไกลจากรูปเสียงกลิ่นรสต่างๆ หลีกเลี่ยงจากภารกิจงานการต่างๆ ที่ไม่จำเป็นต้องทำ อันนี้ต่างหากคือเรื่องของการบรรลุธรรม อยู่ที่การมีเวลาได้ศึกษา ได้ปฏิบัติอย่างเข้มข้นตลอดเวลา รับรองได้ว่าถ้าทำได้ จะบรรลุธรรมได้ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง เพศชาย เป็นฆราวาสหรือเป็นผู้ครองเรือน เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่
สมัยพุทธกาลมีพระอริยบุคคลทุกๆ ชนิดเลย ผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี เป็นฆราวาสก็มี เป็นนักบวชก็มี เป็นเด็กก็มี เป็นผู้ใหญ่ก็มี แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นนักบวช เป็นพระกัน ส่วนใหญ่จะเป็นพระเป็นนักบวช ส่วนอื่นนี่ก็มีน้อยกว่า อาจจะเป็นเพราะว่าบารมีของผู้ชายมีมากกว่าผู้หญิงในทางปฏิบัติธรรม อันนี้ไม่รู้ ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์ เดี๋ยวจะหาว่าไปว่าผู้หญิงอีก แต่ถ้าดูตามสถิตินี่ มีพระเป็นผู้ชายบรรลุธรรมมากกว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายนี้ไม่มีผู้หญิง มีก็มีแม่ชีแก้ว มีอุบาสิกา ก เขาสวนหลวง ที่ในวงปฏิบัตินับถือว่าเป็นพระอริยบุคคลกัน แต่นอกนั้นก็ ผู้หญิงที่ได้ยินก็เห็นมีแค่ ๒ คน นอกนั้นก็เป็นผู้ชาย เป็นพระเสียส่วนใหญ่ รู้สึกฆราวาสไม่ค่อยได้ยินเลยว่ามีหรือเปล่า อาจจะมีบ้าง เคยได้ยินแต่ไม่แน่ใจว่าได้มีการพิสูจน์รับรองกันหรือเปล่า แต่อันนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องของเขา นี่เราพูดเพียงแต่พูดเปรียบเทียบให้ฟัง เท่านั้นเอง เพื่อให้เรามาดูที่ตัวเรา ว่าเราเป็นอะไรก็ได้ เป็นอุบาสิกาก็ได้ ปฏิบัติธรรมหลุดพ้นได้เหมือนกัน ขอให้เรามีสถานที่ มีเวลาปฏิบัติเท่านั้นเอง แล้วก็มีครูบาอาจารย์คอยสอน ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ก็อาจจะหลงทางได้ ถึงแม้จะมีหนังสือมีอะไร ก็บางทีมันไม่ใกล้ชิดเหมือนกับอยู่กับครูบาอาจารย์ เวลาเราทำอะไรทีผิดๆ แปลกๆ ท่านจะเห็นทันที ท่านจะรู้ทันที ท่านจะได้มาแก้มาเตือนได้ แต่ถ้าเราอยู่คนเดียวนี้ ท่านก็อาจจะไม่รู้ นี่ก็เป็นเรื่องเกล็ดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เพื่อให้ได้บรรลุธรรม เพื่อให้ได้สัมผัสกับรสแห่งธรรมที่ชนะรสทั้งปวง จะสัมผัสรสแห่งธรรมได้ก็ต้องมีความยินดีในธรรม ถ้าไม่มีความยินดีก็จะไม่แสวงหาธรรมกัน ถ้ามีความยินดีแล้วก็จะแสวงหาธรรมหาครูบาอาจารย์ หาสถานที่ปฏิบัติธรรม เมื่อได้แสวงหา ก็จะได้ปฏิบัติ แล้วก็จะได้บรรลุธรรมในที่สุด
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๑
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น