พุทธศาสนาสอนไปสู่จุดหมายปลายทาง คือสิ้นสุดแห่งตัวกู
พุทธศาสนาสอนให้ "ไม่มีตัวกู" นี่ก็ถูกจัดเป็น negative ไป
คนธรรมดามีหัวเป็น positive เสมอ อยากมีอยู่ อยากได้ อยากเอา อยากดี อยากรวย อยากสวย อยาก เป็น positive หมด
ในพุทธศาสนาที่แท้ไม่เป็น negative แต่เป็นศาสนาที่บอกให้หายโง่ ให้หายหลงใน positive...
เป็นธรรมดาสามัญสัตว์มีหัวเป็น positivism มีตัวฉัน มีของฉัน มีอะไรอยู่เรื่อย พอได้ยินคำว่าไม่เอาๆๆ เท่านั้นมันก็จัดให้พวกนี้เป็น negative ไปหมด ตรงกันข้ามกับกูแล้วโว้ย...
พุทธศาสนาเราต้องการจะอยู่เหนือ positive และเหนือ negative ต้องใช้คำว่าว่าง ว่างจากทั้งสอง แต่ที่เราว่างพวก positive ต้องจัดว่างให้เป็น negative เสมอ
ผู้ที่จะค้านพุทธศาสนาก็ตั้งแง่ร้ายให้พุทธศาสนาในฐานะเป็น negative มาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล...พวกฝรั่งที่มาสนใจในพุทธศาสนาอย่างครึ่ง ๆ กลาง ๆ อย่างงู ๆ ปลา ๆ ก็จัดพุทธศาสนาเป็น negative จัดนิพพานเป็นยอดสุดของ negativism
มันผิด ผิดเหลือที่จะผิดเลย ไม่รู้พุทธศาสนาในข้อเท็จจริง
พุทธศาสนาต้องการจะอยู่ "เหนือ" ความเป็น positive หรือ negative
ถ้าคุณกลัวจะลืม ก็นึกถึงรูปกลม ๆ ที่เขียนเพดานหน้ามุก ติดโรงมหรสพทางวิญญาณ อันหนึ่งดำอันหนึ่งขาวสัมพันธ์กันอยู่ กำลังเวียนว่ายไป นั่นละเป็น positive เป็น negative อีกวงหนึ่งว่างไม่มีสี ไม่มีรูปร่าง ไม่มีอะไรนั่นน่ะ ว่างจาก positive เป็น negative ที่จุดมุ่งหมายของพุทธศาสนาที่ต้องการจะไปจนพ้นเหนือการมีตัวกูของกู ไม่มี concept ว่าอะไรว่าตัวกูของกูหรือ positive หรือ negative มีตัวกูที่เป็น negative ก็ไม่เอา เป็น positive ก็ไม่เอา
ถ้าจับหลักอย่างนี้ได้ไอ้ความสับสนก็จะมีน้อยลง จะเข้าใจพุทธศาสนาได้ ไอ้ "ความตาย" หรือ "ความอยู่" ในที่สุดไม่ไหวทั้งนั้นแหละ มันเป็นของคู่ ของหลอก เป็นอาการที่หลอกลวงที่อยู่ที่ตัวกู-ของกู ตัวกูอยู่ตัวกูตาย
ตัวกูอยู่ตัวกูตาย มันเป็นอาการหลอก ๆ อันหนึ่งที่ทราบอยู่กับความรู้สึก สำคัญมั่นหมายว่าตัวกูของกู นี่ถ้าใครไม่อยู่หรือไม่ตายทั้ง ๒ อย่าง มันก็ต้องดับเสียซึ่งตัวกูเท่านั้นน่ะ
พุทธทาสภิกขุที่มา : อบรมพระนวกะในพรรษา ครั้งที่ 21 ความหมายอันสับสนระหว่างความตาย และความอยู่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น